โดย มารพิณ
แวะเที่ยว หน้ารวมข้อมูลเที่ยวเอง-backpack-แบกเป้
ซื้อตั๋วเครื่องบินตั้งแต่อยู่เมืองไทย
ซื้อผ่านเอเย่นต์ขายตั๋ว
หรือบริษัททัวร์ครับ
หรือซื้อที่สำนักงานของสายการบินที่อยู่ในเมืองก็ได้
ปกติแล้วไม่มีใครถ่อสังขารไปซื้อตั๋วถึงที่สนามบินหรอก
ถ้าเราไปเที่ยวกับบริษัททัวร์
เขาจะจัดการทุกอย่างให้เราเสร็จว่าจะไปเที่ยวบินอะไร
กลับเมื่อไหร่ หรือต้องใช้วีซ่าอะไรบ้าง
แสดงหลักฐานอะไรบ้าง
บริษัททัวร์เขาจะจัดการให้เราหมด
ถ้าเดินทางเองอย่าง
แบบแบกเป้เที่ยว
เราก็ซื้อตั๋วจากเอเยนต์ขายตั๋ว
หรือพวกบริษัททัวร์ได้เหมือนกัน
บอกเขาว่าเราจะไปวันไหน
กลับวันไหน สายการบินอะไร
รวมทั้งเรื่องวีซ่าด้วย
เขามีบริการไปยื่นวีซ่าให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปเอง
โดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนิดหน่อย
(ถ้างงหรือมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เราก็สามารถถามเอเยนต์ขายตั๋วได้ครับ)
ควรจัดการเรื่องตั๋วไป-กลับให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในเมืองไทย
เราจะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายเรื่องนี้อีกในเมืองนอก
ซึ่งถ้าไปซื้อที่โน่นโดยมากจะต้องใช้ภาษาในระดับที่ยากขึ้น
ถ้าจำเป็นต้องซื้อตั๋วต่างแดน
ยังไง
ๆ ผมก็ไม่แนะนำให้ซื้อตั๋วเมืองนอกนะครับ
แต่ถ้าจำเป็นจะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินในต่างแดนขึ้นมาจริงๆ
ล่ะ ให้ซื้อตั๋วออนไลน์จะดีกว่า ยุ่งยากน้อยกว่า ไม่ต้องสปี๊กอิงลิช แต่ถ้าเราจำเป็นต้องซื้อหน้าเคานเตอร์สายการบินเวลาไปนอก ก็ลองดูสไตล์ประโยคฝรั่งพวกนี้เอาเป็นไอเดียครับ
ลองมาใช้ประโยคพวกนี้แล้ว
เติมชื่อเมืองที่เราต้องการจะบินไปลงในช่องว่างครับ
Is
there a flight to …?
(อิส
แดร์ เอ ไฟ่ลท์ ทู.............)
มีเที่ยวบินตรง
ไปยัง.......มั้ย
แล้วถามต่อว่า
When
?
(เว็น)
เมื่อไหร่
หรือจะถามว่า
When
is the next plane to …?
(เว็น
อิส เดอะ เน็กซท์ เพลน
ทู..............)
เมื่อไหร่จะมีเครื่องบินเที่ยวถัดไปที่จะไป....)
เติมชื่อเมืองที่เราอยากจะไปลงในช่องว่างครับ
ถ้าเขาบอกเรากลับมาว่า
ไม่มี เราก็อาจถามต่อในแบบสั้นๆ
ว่า
What
about tomorrow ?
(ว็อท
อะเบ้าท์ ทูมอร์โร่ว์)
แล้วพรุ่งนี้ล่ะ
Next
2 days?
(เน็กซท์
ทู เดย์)
อีกสองวันถัดไป
Next
week?
(เน็กซท์
วีค)
สัปดาห์หน้าล่ะ
ลองเลือกใช้ดูให้เหมาะกับสถานการณ์ที่เราเจอครับ
ถ้าเขาพยักหน้าตอบมาว่ามี
หรือเซย์เยสมา ให้ถามต่อว่า
How
much ?
(ฮาว
มัช)
เท่าไหร่
ถ้าราคายอมรับได้
เราก็บอกไปว่าต้องการตั๋วแบบไหน
2
economy tickets to…..., please.
(ทู
อิค้อนโนหมี่
ทิ้คเข่ทส ทู .......................พลีส)
ขอตั๋วชั้นประหยัดสองที่
ไป.............ครับ
หรืออาจใช้รูปประโยคที่ฟังดูยากขึ้น
เช่น
I
would like to reserve a seat on the Friday flight to…
(ไอ
วูดไลค์ ทู รีเซิ้ร์ฟ เอ ซีท
ออน ไฟร์เดย์ ไฟ่ล์ท ทู
............)
ผมอยากจะขอจองตั๋วเที่ยวบินวันศุกร์ที่จะไป................(เติมชื่อเมืองลงไป)
I
would like to reserve a round – trip ticket to … on the 3th
of May.
(ไอ
วูดไลค์ ทู รีเซิ้ร์ฟ เอ
ราวนด์ ทริป ทิ้คเข่ท
ทู.....................
ออน
ดิ เทิร์ด ออฟ เมย์)
ผมอยากจองตั๋วไปกลับ................บินวันที่
3
พฤษภาคม
ประโยคนี้ฟังดูยุ่งยากมั้ยครับ
ผมว่ายากไปนิดสำหรับพวกเราที่ไม่คล่องภาษาอังกฤษ
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่มีลำดับวันที่น่าปวดหัวอย่าง
the
3th
of May อะไรแบบนี้
มีข้อสังเกตนิดนึง
ก็คือ ท่อนประโยคที่บอกว่า
I
would like เนี่ย
มันก็คือรูปสุภาพ ของการพูดว่า
I
want ฉันต้องการ...
นั่นเอง
พอเป็นรูปคำถาม แทนที่จะถามว่า
Do
you want……? (ดู
ยู วอนท์.....?)
เราก็อาจถามให้ดูสุภาพขึ้นว่า
Would
you like……? (วูด
ยู ไลค์.....?)
แทนได้เหมือนกัน
กลับมาที่เรื่องบอกวันที่เนี่ย
ทางแก้สำหรับคนอ่อนภาษาอังกฤษก็ง่ายนิดเดียวครับ
ให้พกปฏิทินพกเล็กๆ
ขนาดเท่านามบัตรติดตัวไป
ด้วย จัดแจงเอาปากกาวงตรงวันเดือนที่เราจะเดินทางไว้
เดินไปที่พนักงานขายแล้วพูดว่า
Round-trip
ticket to……….,please.
(ราวนด์
ทริป ทิ้คเข่ท ทู............พลีส.)
ขอตั๋วไปกลับ.......
พร้อมกันนั้นก็ยื่นปฏิทินพกที่วงวันที่ให้เขาดู
ว่าวันไหนกันแน่
On
this day.
(ออน
ดิส เดย์)
เอาวันนี้ล่ะ
ชี้ให้เขาดูว่าจะบินวันไหนในปฏิทิน
(ประโยคแถวนี้เราดัดแปลงใช้กับเวลาซื้อตั๋วรถไฟหรือรถบัสก็ได้)
เท่านี้เองครับ
เรื่องยากก็จะง่าย
เราไม่ต้องไปจำการพูดลำดับวันและเดือนแบบฝรั่งให้ปวดหัว
ถึงใครภาษาจะดี ก็เถอะ
ผมขอแนะว่าน่าจะพกปฏิทินแบบนี้ติดตัวบ้าง
เสียเวลาคุยน้อยลง
และแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด
เมื่อตกลงซื้อตั๋วแล้ว
ตอนนี้เราต้องรู้ข้อมูลอีกเรื่องที่สำคัญครับว่า
ไอ้เจ้าตั๋วเครื่องบินที่เราได้มานี่
จะต้องเช็คอินกี่โมง
และอาคารเทอร์มินัลไหน
What
time do I have to check in
(ว็อท
ไทม์ ดู ไอ แฮฟ ทู เช็คอิน)
จะต้องเช็คอินเวลาไหน
Which
terminal?
(วิช
เท้อร์มินั่ล)
อยู่อาคารไหน
ถามคนขายตั๋วไปเลย
ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์
สมัยนี้เป็นยุคเน็ตเวิร์กคอมพิวเตอร์ที่ระบบข้อมูลทั่วโลกออนไลน์เชื่อมถึงกันหมด
ดังนั้น ตั๋วที่คุณได้มาอาจจะไม่ใช่ตั๋วกระดาษจริงๆ
แต่เป็น ตั๋วอิเลกทรอนิกส์(electronic
ticket) หรือ
e-ticket
(อี-ทิ้คเข่ท)
ซึ่งเป็นแค่ชื่อโค้ดรหัสให้เราไปเช็คอินอีกทีนึง
ข้อดีของมันเหมาะสำหรับนักเดินทางในอเมริกาและยุโรปที่บินเที่ยวสั้นๆ
ไม่มีสัมภาระต้องโหลดขึ้นเครื่อง
ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาผ่านเคาน์เตอร์เช็คอิน
ไม่ต้องส่งกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่อง
แต่ไปเช็คอินผ่านเครื่องอัตโนมัติ
(self-service
kiosk)หรือเช็คอินออนไลน์
แล้วตรงไปที่ด่านรักษาความปลอดภัยและขึ้นเครื่องได้เลย
รายละเอียดพวกนี้
ถามถึงวิธีการใช้และขั้นตอนต่างๆ
ได้ที่คนที่ขายตั๋วให้เรา
หรือจากทางสายการบินที่เราเดินทางครับ
เพราะตอนหลังมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเนื่องจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิล์ดเทรด
11
กันยา
ทำให้มีการเข้มงวดเรื่องนี้มากขึ้นโดยเฉพาะในอเมริกาและอังกฤษ
จอง-ค้นหาที่พัก Agoda
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]
ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
© สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ