วันศุกร์, พฤศจิกายน 30, 2555

กำหนดจัดงาน “กระซิบรักที่เมืองน่าน” มกรา 2556

ภาพกระซิบรักบันลือโลกที่วัดภูมินทร์ น่าน  (ภาพ ททท.แพร่) 

โดย มารพิณ
ไป เฟซบุ๊ค   www.facebook.com/marnpinbook
แวะเที่ยว  หน้ารวมข้อมูลเที่ยวเอง-backpack-แบกเป้


กำหนดจัดงาน “กระซิบรักที่เมืองน่าน” มกรา 2556

       วันนี้มีข่าวฝากมาจากทางททท.เมืองแพร่ครับ  สำหรับคนรัก คู่เลิฟทั้งหลาย ที่อยากไปแอ่วเหนือเที่ยวหนาวแล้วมีกกิจกรรมอะไรซักอย่างที่โรแมนติค เก็บไว้ในความทรงจำยาวนานต่อไป
กิจกรรม “กระซิบรักที่เมืองน่าน”  ในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๖  ที่จัดงานก็คือบริเวณข่วงเมืองน่าน อ.เมือง จ.น่าน

ชื่องานี้พูดถึงส่วนหนึ่งของภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณของของวัดภูมินทร์  “ปู่ม่าน ย่าม่าน”  ที่ในภาพเป็นชู้รักหนุ่มสาวคู่ชายหญิงแต่งตัวราวพม่าหรือไทใหญ่ กำลังยืนกระซิบคลอเคลียกันบนผนัง หวานแหววสวีทจนมีการตั้งชื่อว่า “ภาพกระซิบรักบันลือโลก”

กิจกรรม “กระซิบรักที่เมืองน่าน” 

จัดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๖  สถานที่จัดคือข่วงเมืองน่าน
คู่รักที่มาร่วมงานทุกคู่  จะได้ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ   เข้าทำพิธีสืบชะตา  รวมทั้งพิธีผูกรักมัดใจต้นไม้มงคล และนั่งรถรางชมเมืองน่าน พอตกในช่วงเย็น จะมาร่วมงานขันโตกอาหารเหนือที่ลานกลางแจ้ง
ใครสนใจอยากไปเข้าร่วมงาน สามารถจองที่นั่งได้ที่ เบอร์โทรศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเทศบาลเมืองน่าน โทร ๐๕๔ ๗๕๐ ๒๔๗
โดยทางเทศบาลเมืองน่าน ที่เป็นแม่งานเขาคิดราคาการเข้าร่วมกิจกรรม “กระซิบรักที่เมืองน่าน”  ที่พูดถึงไปนี้ในราคาคู่ละ ๙๙๙ บาท

แพคเกจทัวร์กทม.-น่าน ร่วมกระซิบรักเมืองน่าน
ใครสนใจไปเที่ยวเมืองน่าน ร่วมกระซิบรักเมืองน่าน  งานนี้ทางททท.แพร่ เขาจับมือสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.)  จัดแพคเกจทัวร์นำเที่ยวจากกทม. ค่าใช้จ่ายคนละ ๕,๕๕๕ บาท  สำรองที่นั่งได้ที่ หนุ่มสาวทัวร์ โทร ๐๒ ๒๔๖ ๕๖๕๙  กำหนดออกจากกทม.เย็นวันที่ ๑๗ มกราคม และกลับถึงกทม. เย็นวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖
หลักๆ ก็คือไปร่วมกิจกรรม “กระซิบรักที่เมืองน่าน” และไปชมวัดภูมินทร์ เที่ยวหอศิลป์ริมน่าน   วัดหนองบัว

  สอบถามข้อมูลเที่ยวจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ได้ที่
เบอร์โทร ททท.แพร่
โทรศัพท์ ๐ ๕๔๕๒ ๑๑๑๘, ๐ ๕๔๕๒ ๑๑๒๗

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

กำหนดจัดงานปีใหม่ ประเพณีชนเผ่าแม่สอด วัดไทยวัฒนาราม ประจำปี 2556



โดย มารพิณ

ไป เฟซบุ๊ค   www.facebook.com/marnpinbook
แวะเที่ยว  หน้ารวมข้อมูลเที่ยวเอง-backpack-แบกเป้



กำหนดจัดงานปีใหม่ ประเพณีชนเผ่าแม่สอด วัดไทยวัฒนาราม ประจำปี 2556

ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก สุดชายแดนประเทศไทยด้านตะวันตก จะมีการจัดงาน “ประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่า” ที่วัดไทยวัฒนาราม ตำบลท่าสายลวด  อ.แม่สอด จ.ตาก  หรือ“วัดแม่ตาวเงี้ยว” ซึ่งเป็นวัดไทยใหญ่โดยจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 1-2 มกราคม 2555 

สำหรับในแง่การเดินทางทำได้โดย   ที่ตั้งของทางวัดที่จัดงานจะอยู่ห่างจากอำเภอแม่สอดออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร บริเวณกิโลเมตรที่ 84    จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 105 สายตาก-แม่สอด เส้นที่จะไปตลาดริมเมย จะอยู่ก่อนถึงสะพานมิตรภาพไทย-พม่า

โดยจะมีหมายกำหนดการหลักๆ :
วันที่ 1 มกราคม 2556 
ตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์ 99 รูป เวลาเจ็ดโมงเช้า
วันที่ 1 มกราคม 2556 เวลา 19.00 น.
จัดขบวนแต่งกายชนเผ่าต่างๆ ในอำเภอแม่สอด เช่น ปะหล่อง ไทยใหญ่  ปะโอ กะเหรี่ยง พม่า รวมทั้งมีงานแสดงชนเผ่าตลอด 2 คืน
 2 มกราคม 2556 
โชว์การทำทำข้าวแดง และข้าวยาคู เวลา 12.00 น. หรือเที่ยงตรง

นอกจากนี้จะมีการออกร้านขายของจำหน่ายพวกสินค้าชนเผ่า ให้ซ์้อหามาทานกันเช่น ขนมจีนน้ำยาชนเผ่า  ปะล่อ  ข้าวส้ม  และ แปะจี่ เป็นต้น

สอบถามข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวแม่สอด ตาก
เบอร์โทรททท.ตาก
โทร.0-5551-4341-3


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

วันพุธ, พฤศจิกายน 28, 2555

โหลดสติกเกอร์ LINE ททท รูปน้องสุขใจที่ไหน โหลดไลน์ทำยังไง






โดย มารพิณ
ไป เฟซบุ๊ค   www.facebook.com/marnpinbook

แวะเที่ยว  หน้ารวมข้อมูลเที่ยวเอง-backpack-แบกเป้


ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  มีแคมเปญการตลาดออกใหม่ครับ  คราวนี้เอาใจคนเล่น   หรือ  LINE  หรือว่า "ขา LINE"  เมืองไทยและเมืองนอกที่ติดหน้าจอสมาร์ทโฟนกันงอมแงมทุกวันนี้ โยจะมีการจัดหนักปล่อยของครั้งใหญ่  โดยให้ สติ๊กเกอร์ คอลเลกชั่นพิเศษสุดๆ  มาแจกโหลดฟรี  ในธีม  Amazing Thailand บน LINE ชุมชนออนไลน์ยอดนิยม

ททท แจกใหญ่สติ๊กเกอร์ LINE ลาย Amazing Thailand (ขยายเมาส์ดูภาพใหญ่ ชัดๆ  ได้ครับ)
ใครอยากได้สติ๊กเกอร์ ททท ไปประดับไลน์ ต้องรีบหน่อยครับ เพราะงานนี้สามารถดาวน์โหลด สติ๊กเกอร์ จาก Amazing Thailand บน LINE    เริ่มกันตั้งแต่ช่วงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555  นี้   เรื่อยไป จนถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2555 นี้ หมดแล้วหมดเลย ขา line ชาว Line ห้ามพลาดที่จะมาดาวน์โหลดไปใช้งานเพิ่มลูกเล่นให้กับการใช้งาน

ใครที่มาแจมใน Amazing Thailand ที่ LINE จะสามารถดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์คอลเลกชั่น น้องสุขใจและเพื่อนๆ  มีถึง 16 ลาย สิบหกแบบ ไว้สะสมหรือเอาไปเล่นกับเพื่อนๆ  ได้โดนใจ

ดูข้อมูลทททแจกสติ๊กเกอร์ Line เพิ่มเติมได้ที่
เบอร์เว็บ www.tourismthailand.org 
เบอร์เฟสบุ๊ค www.facebook.com/AmazingThailand

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

รวมรายชื่อ เบอร์โทรสมาคมท่องเที่ยวไทย

โดย มารพิณ
ไป เฟซบุ๊ค   www.facebook.com/marnpinbook
ไป หน้ารวมข้อมูลเที่ยวนอก-แบคแพค


มีอยู่ 4 สมาคมท่องเที่ยวใหญ่ๆ ในเมืองไทยที่ทำธุรกิจนำเที่ยว และประสานงานในหลายกิจกรรมกับทาง ททท - การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่เป็นประจำครับ นอกจากทำทัวร์ จัดทัวร์ ทำแพคเกจทัวร์ หรือคาราวานและอีเวนท์ต่างๆ  ร่วมกับททท.แล้วแต่ละสมาคมก็มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับเที่ยวภายในประเทศที่หลากหลาย

แต่เวลาที่นักท่องเที่ยว หรือผู้สนใจจะขอทราบรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมนำเที่ยว และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของแต่ละเจ้าก็จะงงบ้างเล็กน้อยเพราะว่า มีอยู่ 4 สมาคมที่ชื่อ และตัวย่อที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นปัญหาของตัวย่อภาษาไทยที่พอย่อแล้วคล้ายกัน ใครไม่คุ้นมาก่อนก็สับสนได้ง่าย

ผมก็เลยเอาข้อมูลติดต่อสมาคมเที่ยวไทยที่ดีลงานกับ ททท.   พร้อมเครื่องหมายโลโก้ของแต่ละสมาคมเอามาลงเอาไว้ตรงนี้

  • เบอร์โทรสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ(สทน.) 

โทรศัพท์ : 0 2192 1924-26 / 0 2591 1060 / 0 2 246 5659


  • เบอร์โทรสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย(สทอ.) 

โทรศัพท์ : 0 2642 4426-8/ 0 2 278 0225 /0 2 642 5465 


  • เบอร์โทรสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย(สธทท.) 

โทรศัพท์ : 0 2872 8641 / 0 2 540 2971 / 08 4209 4447 / 08 6397 8788 


  • เบอร์โทรสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย(สนท.)  

โทรศัพท์ : 0 2933 4322-3 / 0 2933 4180 / 0 2998 0744 / 08 3395 1439


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใคร ที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

เลือกเอาจะขายตรงหรือขายจริง

คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ



เลือกเอาจะขายตรงหรือขายจริง

เลือกเอาครับ ถ้าจะขายตรงเพิ่มอีกอย่างก็ไม่ว่ากันหรอก แต่...แต่ และก็แต่ ขอนิดเดียวว่า ให้แยกขายตรงออกไปจากพื้นที่ขายจริงของเราเสมอไป อย่ามาวางปนมั่วเป็นอันขาด โดยเฉพาะถ้าเป็นการขายคนละประเภทยิ่งแล้วใหญ่ เช่นเป็นร้านแว่นตา แล้วมาวางขายของจุกจิกขายตรงประเภทอื่นด้วย เช่น กาแฟลดน้ำหนัก เข็มขัดแม่เหล็ก อะไรพวกนี้ มันอาจไม่เหมาะ แถมลูกค้าจะงงในบทบาทเราอีกต่างหาก

แต่ยังไงก็ตาม ตอนตั้งตัว ตั้งกิจการก็อยากให้เน้นไปเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลย เช่นเรื่องร้าน อย่าไปลังเลจนพัวพันหลายเรื่อง ที่สำคัญ ขอเตือนว่า งานขายตรง หรือขายเครือข่ายนั้น อาจไม่เหมาะกับทุกคนเสมอไป ระวังว่าขายของได้ แต่จะ “เสียญาติ” และ “เสียเพื่อน” ไปแบบไม่รู้ตัว แบบว่า
เขายอมซื้อสบู่จากเราแค่ 200 บาท แต่ในใจแอบสาปส่งเราไปตลอดชาติ แบบนี้จะคุ้มกันหรือไม่ ให้ไตร่ตรองดูให้ดี   



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

อย่ามีทีวีติดร้าน




คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ

อย่ามีทีวีติดร้าน

เรื่องนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ทีวีมันจะดึงดูดความสนใจทุกอย่างไปจากคนดูแลร้าน ผมใช้คำว่า “คนดูแลร้าน” ก็เพราะบางทีปัญหามันไม่ได้เกิดแค่กับลูกจ้างหรือพนักงาน แต่เจ้าของร้านเองนี่ละตัวดี เคยเจอมั้ยครับว่า บางร้านติดละครจนไม่เป็นอันขายของ และละครเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแค่หลังข่าว แต่มีละครฉายเวียนทั้งวัน ผมเคยไปซื้อของร้านนึง ต้องเกรงใจแจ้เจ้าของแกสุดๆ เพราะละครกำลังติดพัน ขายของหยิบผิดหยิบถูก ทำท่ารำคาญลูกค้าที่มากวนในช่วงติดพันหน้าจอ

ถ้าไม่ต้องการให้ลูกจ้างดูทีวี ก็อย่าดูทีวี ดูละครให้เป็นตัวอย่างกับลูกจ้าง หรือพนักงานของเรา ถ้าไม่มีวินัยกับตัวเอง แต่จะไปบังคับฝืนใจคนอื่นฝ่ายเดียว ปัญหาจะตามมาแน่นอน

อีกอันที่ต้องระวัง ยังไม่ค่อยเป็นปัญหาเมืองไทย แต่เป็นปัญหาหนักในเมืองจีนตอนนี้ คือบรรดา หนุ่มสาวคนเฝ้าร้าน เอาแต่เฝ้าหน้าจอคอมพ์ คอยแต่แชทกันเพลิน แทนที่จะสนใจหน้าร้านอย่างที่ควรเป็น 



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

รายรับยังวิ่งไม่เข้าเป้า รายจ่ายต้องให้น้อยเข้าไว้




คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ




รายรับยังวิ่งไม่เข้าเป้า รายจ่ายต้องให้น้อยเข้าไว้

คำคมจีนบอกว่า ยังไม่ชนะ ต้องปิดประตูแพ้ไว้ก่อน เหมือนตั้งรับดีไว้ก่อน พอมั่นใจค่อยเปิดเกมบุกออกไป

ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ ร้านกาแฟ ตอนนี้เห็นร้านกาแฟทั่วกรุงเทพฯ และตามจังหวัดทั่วประเทศไทยมั้ยครับ คำถามคือทำไมมีร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายแบบนี้ ในด้านหนึ่ง คนนิยมกาแฟสดเพิ่มขึ้นจริง ช่วงสิบปีที่ผ่านมาถึงไม่มีการสำรวจข้อมูลอย่างเป็นทางการแต่คาดเอาคงไม่ผิดว่า มีคนทานกาแฟเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่อีกแง่มุมที่ซ่อนอยู่ จำนวนร้านกาแฟที่มีเพิ่มขึ้น เป็นเพราะ “โอกาสรอด” ของร้านกาแฟสด ประเภทนี้มีสูง ด้วยสาเหตุง่ายๆ คือของเสียมีน้อยมาก เมล็ดกาแฟถึงแม้คั่วใหม่ดีที่สุดแต่ขายไม่หมดก็ยังเก็บได้ระยะหนึ่งโดยไม่เสียหาย ใบชา น้ำตาล น้ำเชื่อม ครีมเทียม ล้วนแต่เก็บได้หมด ขาดอยู่แค่ นมสด ที่เก็บไว้มีเสีย แต่นี่ก็พอบริหารจัดการได้ ไม่ยาก อย่าอุตริไปขายเค้ก หรือขายอะไรอื่นที่มีของเสีย ต้องทิ้ง รับรองเจ๊งยาก

ในทางกลับกันพวกร้านอาหารเปิดใหม่ สวนอาหารถึงแม้ขายอาหารกำไรดี แต่กลับเจ๊งกันง่ายๆ โดยเฉพาะในช่วงเปิดกิจการใหม่ๆ เพราะจุดอ่อนที่ของสดของคาวและผัก พร้อมจะเสียกันได้ตลอดเวลา กุ้งเน่า ปลาจะละเม็ดบูดเสียไปอย่างละห้ากิโลจะสูญเงินไปเท่าไหร่ จะต้องขายอีกกี่จานจึงจะเอาไอ้ที่ขาดทุนตรงนั้นคืนมา 


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

วันอังคาร, พฤศจิกายน 27, 2555

เจาะลึกวิชาเชลฟ์ ดิสเพลย์ ตั้งของขาย



คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


เจาะลึกวิชาเชลฟ์ ดิสเพลย์ ตั้งของขาย

ไม่ว่าจะทำร้านอะไร แบบไหน ขอให้เป็นขายของ จะต้องมีเรื่องของ “ชั้นวางของ” หรือที่นิยมเรียกตามภาษาฝรั่งว่า “เชลฟ์” (Shelf) มาเอี่ยวด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ

โดยมาก จะแบ่งง่ายๆ ออกสามแบบ ดังนี้
  1. ตัวชั้น หรือ เชลฟ์
  2. ตัวหัวชั้น หรือ หัวเชลฟ์ ที่ปิดหัวท้ายของชั้น
  3. ชั้นติดฝา ก็คือชั้นที่อยู่ติดฝา ซึ่งสามารถสูงกว่าชั้นแบบทั่วไปได้


โดยมากชั้นธรรมดาก็ไว้วางของทั่วไป ส่วนหัวเชลฟ์มักเอาไว้วางสินค้าใหม่ หรือทำโปรโมชั่น หรือสินค้าที่กำลังลดราคา หรือมีกิจกรรมพิเศษชิงโชค เรียกว่าเป็นการวางเพื่อสร้างจุดเด่น ว่างั้นเถอะ

ประเภทของชั้น ขนาด ความสูง เรื่องพวกนี้ต้องคิดกันให้ละเอียด ตั้งแต่ก่อนเปิดร้านของตัวเอง รู้ชัดว่าเราจะขายอะไร รู้โปรดักต์แล้วก็จะรู้พื้นที่จัดวางต่อไป นึกภาพในหัวให้ชัดตลอดว่า สินค้าของเราจะวางที่หัวเชลฟ์ยังไง ในชั้นแบบไหน หรือจะดูเด่นในชั้นข้างฝายังไงกันแน่

งานนี้ ขอทิ้งการบ้านไว้ว่า ให้ไปแอบเรียนวิชาจากร้านแบบเดียวที่คุณอยากจะเปิด เลือกเอาร้านที่ประสบความสำเร็จ ขายดี แล้วไปดูงานว่าเขาใช้ ชั้นวางแบบไหน จัดวางยังไง และจัดรูปแบบหัวเชลฟ์ยังไง ยิ่งดูมากร้านจะยิ่งรู้ทาง รู้แนว เราเอาไปประยุกต์ใช้กับร้านเราเองได้

ขีดจำกัดของเรื่องราวทั้งหมด อยู่ที่เพดานกับพื้น ในระหว่างเพดานกับพื้นเราคิดจะจัดวางอะไร ตรงไหน ให้เด่นที่สุด ดูแลจัดการได้ง่ายและสะดวกที่สุด

ทำร้านต้องหัดสังเกตรายละเอียดเสมอ ถ้าขายของประเภทอื่นก็จะมีรูปแบบของดิสเพลย์ และชั้นที่ต่างออกไปเช่น ร้านขายเสื้อรูปแบบชั้นอาจเป็นแถวแขวนเสื้อผ้า จุดเด่นอาจไปอยู่ที่รูปแบบหุ่นโชว์ ที่เลือกวางได้หลายจุดในร้าน พวกนี้ต้องศึกษากันให้ละเอียด เช่น หุ่นแบบเสื้อแบบมีหัว ไม่มีหัวดีเสียต่างกันยังไง หุ่นไม้ หุ่นปูน หุ่นพลาสติกล่ะ หรือไปเห็นเกาหลีมาเขาใช้แบบนี้ เฮ้ย สุดยอดเลย ทำไมเราไม่เอามาใช้บ้างล่ะ

หรือถ้าเป็นร้านอาหารก็ต้องดูเรื่องเมนู และดิสเพลย์แบบตั้งโต๊ะ อะไรแบบนี้

เรื่องของระดับ

ที่สำคัญกับเรื่องชั้นวางสินค้ามากที่สุดคือ เรื่องของ “ระดับ” ครับผม ความสูง-ต่ำ ที่แตกต่างกันมีผลต่อการเลือกซื้อของในร้านเรา และเรื่องนี้มีผลโดยตรงกับระดับความสูงของลูกค้าด้วย เพราะอย่างแรกที่จะต้องให้ความสำคัญคือ “ระดับสายตาของลูกค้า” ครับผม

คนเรามักจะทำอะไรที่ระดับสายตา เพราะดวงตาทั้งคู่คือช่องทางที่มนุษย์เราใช้มองสิ่งต่างๆ รอบตัว ตัวอย่างเช่น คนเราถ้าให้เขียนอะไรที่ข้างฝา ก็มักจะเขียนลงไปที่ระดับสายตาเสมอ บางคนแม้แต่เวลาที่เขียนหนังสือลงบนกระดาษยังก้มหน้าลงไปแนบแทบจะถึงพื้นโต๊ะ
สมัยก่อนครูที่โรงเรียนเก่าผม เคยจับคนเขียนด่าพ่อแกได้ เพราะเรื่องระดับสายตานี่ล่ะ แกจับเด็กทั้งชั้นมาเรียงแถวเทียบกับข้อความบนกำแพง บังเอิญว่าหมอนั่นมันสูงกว่าเพื่อนนักเรียนคนอื่นสักหน่อย พอตามเทียบลายมือตรงกันก็โดนเฆี่ยนเรียบร้อยไป


ขนาดของชั้นในร้านขึ้นกับความสูงเฉลี่ยของคนทั่วไป ผู้ชายสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย เช่น ค่าเฉลี่ยความสูงของผู้ชายไทยอาจอยู่ระหว่าง 165-175 ซม. ในขณะที่ผู้หญิงอาจขยับต่ำลงมาอีกช่วงนึงคือ 155-165 ซม. คาดเคลื่อนจากนี้ไม่เกิน 5 ซม. อันนี้ต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่าเป็นการประมาณการโดยคร่าวๆ นะครับ 

ระดับสายตา จะต่ำกว่าความสูงจริงของแต่ละคนเล็กน้อย คนเรารู้สึกดีที่สุดกับระดับสายตาตัวเราเอง จะดูอะไรสบายตา เห็นชัดเจน รู้มิติรูปร่างของสิ่งของดีที่สุดที่ในระดับนี้ นอกจากนี้ คนชอบจะหยิบของที่ระดับสายตา หรือสูงกว่าสายตาตัวเองเล็กน้อย โดยไหล่ คือระดับมือและคนเรามีวิธีหยิบของสองแบบคือ หยิบสบายๆ ที่ศอกยังงอไม่ได้ยืดแขน กับเอื้อมหยิบที่เหยียดแขนสุด

เอื้อมหยิบกันแบบไหน ให้ลองหันหน้ามองกระจกบานใหญ่ ยกมือขึ้นไปจับกระจกในระดับต่างๆ กัน เราจะเห็นภาพ ตัวเรา เหมือนภาพลูกค้าที่กำลังหยิบของได้อย่างชัดเจน ถ้าอยากเห็นภาพชั้นวางคร่าวๆ เอาก้อนสบู่มาขีดกระจกเป็นเส้น เราจะเห็นรูปของชั้น และจังหวะทิศทางการมองการหยิบสินค้า ของคนเราในภาพรวมอย่างชัดเจน


สำหรับร้านค้าทั่วไป ชั้นวางที่วางอยู่กลางร้าน มักจะไม่สูงเกินระดับสายตาของความสูงเฉลี่ยมากนัก เพราะสูงมากไปจะทำให้ร้านดูทึบ ตามาด้วยปัญหาการรักษาความปลอดภัยของหาย และสูงมากไปจะเกิดความรู้สึกกดดันลูกค้า ว่าอึดอัดไม่อยากเข้าไป พอเห็นแบบนี้แล้ว หลายคนคงจับประเด็นออกแล้วว่า ร้านที่มีลูกค้าเน้นเพศหญิง ชั้นวางกลางร้านอาจไม่สูงเท่า ร้านที่ขายของสองเพศ

ส่วนร้านที่ขายของทั้งสองเพศ และจำเป็นต้องวางของที่เน้นคนซื้อคนละเพศรวมกันในชั้นวางตู้เดียวกันก็มีวิธีวางสินค้าที่จะขายโดนเราสามารถแยกเน้นที่ระดับความสูงที่ต่างกันระหว่างหญิงและชาย โดยให้ของที่เน้นขายผู้ชายสูงกว่าของที่เน้นขายผู้หญิงไปชั้นนึง เพราะระดับสายตาผู้ชายสูงกว่ายังไงละครับ


จะเห็นว่า บางห้างวางหมากเล่นงานผู้ปกครองที่พาลูกมาเที่ยวห้างด้วยการวางของเล่น หรือขนม ไว้ที่ชั้นระดับต่ำ ที่อยู่สูงประมาณขนาดเอวผู้ใหญ่ ความหมายก็คือ อยู่ในระดับสายตา และเด็กหยิบคว้าได้สบาย คราวนี้ก็เป็นเหตุให้เสียสตางค์กันต่อไป เพราะพอเด็กคว้าของเล่นหรือขนมไปแล้วจะวางลงก็ไม่ใช่ง่าย โดยมากเราจะเจอแบบนี้แถวๆ เคาน์เตอร์จ่ายเงิน หรือแถวทางไปจ่ายเงิน


ที่เล่ามานี้คงจะพอเห็นภาพกันบ้างแล้ว นอกจากนี้ เราต้องดูการประยุกต์ใช้อื่นๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ด้วย เช่นร้านที่มีต่างชาติเข้าเยอะตามเมืองท่องเที่ยว เราก็ต้องดูแลเรื่องชั้นให้เป็นไปตามค่าเฉลี่ยของฝรั่งที่สูงกว่าคนไทยพอสมควร ขณะเดียวกัน ขายของวัยรุ่น ขายของนักศึกษาที่เดี๋ยวนี้ตัวสูงใหญ่กว่ารุ่นพ่อแม่ (อย่างน้อยก็สูงกว่า 5-10 ซม.) แบบนี้ก็ต้องเพิ่มค่าเฉลี่ยเข้าไป


พอเข้าใจแบบนี้แล้ว การจัดเสริมแบบอื่นก็มีพลิกแพลงต่ออีกเช่น ชั้นล่างๆ ลงมาอาจวางของที่ไม่เด่นนัก เป็นพวกของจำเป็นที่ต้องใช้ ต้องซื้อ ต้องมี หรือเป็นสินค้าที่ขายเฉพาะกลุ่ม แบบนี้ถึงวางต่ำกว่าระดับสายตาลงมาก็ไม่เสียหายอะไร เพราะคนที่สนใจ หรือจะซื้อจริงๆ เขาหาได้อยู่แล้ว หรือถ้าต้อง สต๊อกสินค้าไว้ในพื้นที่ขายด้วย ให้สต๊อกอยู่ในเชลฟ์ล่างสุด หรือชั้นบนสุดที่สูงเกินมือเอื้อม แบบนี้ก็เอามาเติมได้สะดวกและไม่ไปแย่งพื้นที่ชั้นวางตรงระดับสายตาที่เป็นเหมือนไพร์มไทม์ หรือจุดเด่นที่สุดของเรา


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

เจ๊งไม่ใช่เรื่องแปลก



คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ



เจ๊งไม่ใช่เรื่องแปลก

การค้าขาย นอกจากความสำเร็จ แล้วมันยังมีเรื่องของความล้มเหลว หรือเจ๊ง อีกด้วย ถ้ารู้ชัดว่า เราเจ๊งเพราะอะไร นี่จะเป็นประสบการณ์ล้ำค่าหรือเป็นบทเรียนให้หาโอกาสลงทุนใหม่ได้ถูกในอนาคต มีเรื่องราวในวงการค้าขายมากมาย ที่เล่าขานตำนานของคนที่ล้มลุกมาหลายครั้ง แล้วสร้างกิจการสำเร็จในที่สุด

ข้อมูลที่ผมย้ำนักย้ำหนา คือตัววัดที่ดีที่สุด ที่ทำให้เรารู้ถึงโอกาสที่จะเจ๊ง แต่เนิ่นๆ ซึ่งถ้ารู้ได้เร็วยัง ดีเสียกว่าถลำตัวไปลึก เพราะไม่รู้ข้อมูลสถานการณ์ของร้าน และเรายังเตรียมตัวปิดร้านได้อย่างเป็นขั้นตอน

บางครั้งถึงขาดทุนแล้ว เรียกว่าเตรียมเจ๊งแน่นอน ถึงแม้รู้ชะตาชัดแล้ว แต่บางกรณี อาจยังไม่ควรเลิกกิจการลงทันที เพราะปิดลงทันทีเลยอาจมีผลเสียมากกว่า เช่น ยังมีเงินหมุนเวียน มีรายได้เข้ามาจำนวนหนึ่งทุกเดือน ในขณะที่สัญญาเช่ายังเหลือ หรือมีหลายเรื่องราวที่จะต้องเคลียร์กันให้เสร็จก่อนแยกย้าย เช่นเคลียร์บัญชี คุยเรื่องหนี้ ฝากลูกน้องให้ร้านอื่น ฯลฯ


คำถามสุดท้ายก่อนเจ๊ง คือ แล้วได้อะไรกลับมา เรียนรู้ประสบการณ์อะไรได้บ้าง ลองหากระดาษมาหลายๆ แผ่น แล้วเขียนลงไปว่าด้วยลายมือตัวเองว่า ได้รู้อะไรเพิ่มบ้างจากการเปิดร้านครั้งนี้ และแถมลงไปอีกว่ามีอะไรที่ยังไม่รู้ หรือต้องการรู้อีกบ้าง

หรือในกรณีถ้ากิจการอยู่รอดไปแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่รุ่งอย่างที่หวัง ก็ต้องมาพูดกันว่าจะทำต่อดีมั้ย หรือจะพลิกเกมไปทำอย่างอื่น

ข้อสำคัญของเรื่องคือ หุ้นส่วนทุกคนควรมาเปิดใจกัน ตรงๆ ถ้าเจ๊งไปแล้ว หุ้นส่วน หรือเพื่อนที่คบกันมานาน กลับผิดใจ หรือเลิกคบกัน นี่จะยิ่งสูญเสียซ้ำเติมลงไป ยิ่งกว่าการเจ๊งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเสียอีก




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

ของปลอบใจราคาถูก



คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


ของปลอบใจราคาถูก

มนุษย์ในสังคมเมือง การซื้อ การเสพย์กลายเป็นเครื่องวัดความสุขของชีวิตทุกวันนี้ไป ต้องซื้อของ ช้อบปิ้งของ ถึงจะมีความสุข พอใจที่ได้ผูกพันกับข้าวของที่ซื้อมา มีบ้านใหญ่จะได้วางข้าวของเพิ่มขึ้น คนเราถูกกระตุ้นให้ซื้อโดยธรรมชาติ และพร้อมจะจับจ่ายออยู่แล้ว


เชื่อมั้ยครับว่า ถ้าเราทำร้านได้ดี คนซื้อที่เข้ามาจะ “รู้สึกผิด” ถ้าไม่ได้ซื้ออะไรออกไปซักอย่างสองอย่าง นี่คือเหตุผลทำไมเรื่องการแต่งร้าน การจัดการร้านถึงเป็นเรื่องสำคัญ ลูกค้าหลายคนอาจชอบของในร้านเรา แต่ยังซื้อตอนนั้นไม่ได้ หรืออาจกำลังจนสนิท บางทีเราต้องหาของที่ดูดี ของเล็กน้อย ชิ้นไม่ใหญ่ มูลค่าต่ำถึงปานกลาง วางเด่นเอาไว้ให้เป็น “สินค้าปลอบใจ” บ้าง สังเกตมั้ย แม้แต่ ร้านไฮเอ็นด์ ไฮโซ ก็ยังมีรายการสินค้าประเภทนี้แทรกไว้สำหรับ ผู้แพ้เพราะสตางค์ในกระเป๋าไม่พอ


พอได้ซื้อแล้ว เขาจะรู้สึกดีกับร้านเรา กลับบ้านด้วยความพอใจ กล้ากลับมาอีก แวะมาดูอีกในคราวหน้า ในร้านบางประเภท เช่น ร้านของเล่น สามารถวางของเล่นราคาไม่แพงเอาไว้ใกล้ทางออก เพื่อให้บรรดาพ่อแม่แก้สถานการณ์ที่ลูกรักสุดเลิฟกำลังออกอาการงอแงอยากได้ของเล่นชิ้นแพง เรียกว่าเป็น “ของปลอบใจ” ให้พอผ่านสถานการณ์

ในร้าน “ไอเกีย” (IKEA) ของแต่งบ้านเก๋ๆ และเฟอร์นิเจอร์ที่มีสาขาทั่วโลก หลังจากเราเดินจนเหนื่อย เห็นทั้งของที่อยากได้ แต่แพงไป หรือที่บ้านไม่มีที่พอ ตอนกำลังจะออกมาตรงทางออก ก็มีการรวมดาวเอาพวกของชิ้นเล็ก ราคาประหยัดไม่แพง แต่แอบน่ารักเล็ก มาวางเรียงรายให้เลือกอีกทีเผื่อคนลืมหยิบ หรือกำลัง “ตัดใจ” จากของใหญ่ชิ้นอื่น จะได้มา “ปลอบใจ” กับของพวกนี้ กลับบ้านไปด้วยความรู้สึกที่ดีกับร้าน  



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

สัญญาณปิดการขาย



คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ



สัญญาณปิดการขาย

เมื่อขายของไปซักระยะนึง จะเริ่มรู้จักและเข้าใจ ความรู้สึกและอาการความสนใจของลูกค้า ให้มองหาสัญญาณปิดการขายเสมอที่สื่อสารออกมาเสมอ ต้องดูท่าทีว่าลูกค้าเรามีทีท่าจะซื้อหรือว่ายังแค่ดูเฉยๆ การรุกสุ่มสี่สุ่มห้า ถามเร่งเร้าก่อนเวลา หรือพูดไม่เข้าเรื่อง อาจส่งผลเสียจนลูกค้าเดินหนี

ลองให้ความสนใจกับสัญญาณแปลกๆ พวกนี้ บ้างครับ
  • ผู้ชายดูของ แล้วมองกลับไปที่เมีย ที่อยู่อีกฟากของร้าน
  • จู่ๆ ถามว่ามีประกันกี่เดือน
  • ผู้ชายเอามือมาที่ระดับเอวตรงกระเป๋าแบบไม่รู้ตัว บางรายเอามือสอดเข้าไปในกระเป๋าด้วยซ้ำ หรือผู้หญิงลดระดับกระเป๋าสะพายไหล่ลงมาที่ระดับสะดวกมือเปิด
  • มองดูของสองชิ้นเทียบกันไปมาอยู่หลายครั้ง
  • หยุดชะงัก หรือเปลี่ยนทิศการเดินกะทันหัน
  • เพื่อนโทรเข้ามา แต่ไม่คุยด้วยนาน หรือไม่เดินไปคุยนอกร้าน บอกว่าดูของอยู่

ลองไปหาหนังแผ่นที่ไม่เคยดูซักเรื่องแล้วมาเปิดดูแบบปิดเสียง แล้วเดาเอาว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ดูหนังเงียบแบบนี้จะเห็นภาษาท่าทีของคน มองคนเข้าร้านตรงข้ามแล้วลองเดาในใจว่าคนนั้นจะซื้อหรือไม่ซื้อ

ทั้งหมดนี้ ให้พนักงานอยู่ประจำที่ ปล่อยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าก่อน พอเริ่มเห็นสัญญาณ แล้วค่อยตามไปปิดการขาย ยื่นข้อเสนอให้ บางรายอาจด้วยของแถม บางรายแค่เราพูดแนะเล็กน้อย เขาก็ตกลงใจซื้อแล้ว

คำถามที่นำไปปิดการขายพวกนี้ บางครั้งอาจต้องเดิมพันกันเล็กน้อย ถ้าลูกค้าดูสนใจแล้วแต่ยังมีเหตุบางอย่างที่ขวางการตัดสินใจซื้ออยู่ ใช้คำถาม เช่น

สีอื่นก็มีนะครับ”
มีอีกรุ่นที่คล้ายกัน แต่มีโปรโมชั่นถูกกว่าค่า”
มี.....(ชื่อของ).......แถมด้วยนะ”
ลองดูมั้ยครับ”
ชอบเพลงแนวนี้ เคยฟังชุดนี้มั้ย”

หรือคำถาม ข้อเสนอแบบอื่น ตามแต่ประเภทร้านและสไตล์การขายของเรา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าทำสีหน้าผิดหวัง หรือไม่พอใจ ถ้าปิดการขายแต่ละครั้งไม่ได้ ลูกค้าที่เข้าร้านเรามีทั้งซื้อและไม่ซื้อ นี่แน่นอนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว วันนี้เขาอาจยังไม่ซื้อ วันหน้าก็อาจเปลี่ยนมาซื้อได้เหมือนกัน เหตุผลในการยังไม่ซื้อก่อนมีมากมาย เช่น มีนัดกับแฟน ไม่ได้เอารถมา หรือเงินเดือนยังไม่ออก ไม่ใช่หมายความว่าเขาจะไม่ซื้อ ถ้าลูกค้าเห็นสีหน้าท่าทางแบบนั้นจากเรา วันหน้าเขาจะไม่เข้ามาซื้อของอีกเลย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

ปรับเรื่องการวางของเพื่อหาจุดลงตัว



คอลัมน์พิเศษ


เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


ปรับเรื่องการวางของเพื่อหาจุดลงตัว

ไอเดียเรื่องชั้นวาง กับการจัดของ บอกกันได้คร่าวๆ แต่พอถึงการใช้จริง ในร้านจริง ต้องลองปรับวางหลายๆ แบบ ทดลองไปให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าของแต่ละทำเล ทดลองเปลี่ยนตำแหน่งการวางแล้วสังเกตว่าจุดไหนขายออก ตรงไหนมีคนหยิบ ตรงนี้วางอะไรก็ไม่มีใครหยิบ แต่พอเปลี่ยนมาอีกที่คนหยิบเอา ๆ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ครับ

ผมเคยถามเฮียคนนึงว่า ทำไมเป็นแบบนี้ แกก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีคำอธิบาย แถมแซวกลับมาว่า จะเป็นฮวงจุ้ยหรือมัน “สอดคล้องกับจังหวะแห่งจักรวาล” ก็ไม่ทราบได้

จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ครับ ทำให้ช่วงแรกที่เปิดร้านในแต่ละทำเล ถึงแม้เราจะจ้างพนักงาน มีลูกจ้าง แต่ตัวเราหรือหุ้นส่วนที่เชื่อมือ จะต้องมานั่งเฝ้าก่อนในช่วงแรก จับตาให้ละเอียดเรื่องข้อมูลการขายและตำแหน่งที่วาง พิสูจน์รู้ให้ได้ว่าที่ขายไม่ออกเป็นเพราะตัวสินค้าไม่ดี หรือตำแหน่งวางไม่ดี

บางกรณีอย่างร้านตามซอย หรือในงานแสดงสินค้าที่มีคนผ่านมาก แต่กลับไม่มีคนเข้ามาดูของในร้าน การจะจัดของเว้าเข้ามากะให้คนเดินเข้ากลับไม่เวิร์ก ในสถานการณ์แบบนี้ อาจลองปรับแต่งการวางเพิ่มจุดสนใจ หรือวิธีสุดท้าย อาจต้องแก้เกมด้วยการวางชั้นผลักออกติดทางเดินที่คนเดินผ่านเลย 

พอเริ่มเข้าใจแล้วว่าวางตรงไหน ขายได้ วางตรงนั้นขายดี รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ คราวนี้ก็ต้องดึงให้ลูกจ้างมาหัดตั้งของด้วย ให้สังเกตว่าวางตรงไหนมีผลต่อยอดขาย เอาเสื้อสีไหนวางไว้แถวหน้าแล้วขายออก หรือกระเป๋าแบบนี้โชว์ทีไรขายออกทุกที หรือบางจุดวางยังไงก็ขายไม่ขึ้น เป็นต้น อธิบายให้ลูกจ้างเรารู้ถึงสาเหตุว่าทำไมต้องวางตรงนั้น และต้องวางของชิ้นนั้น พอพนักงานเราเริ่มรู้แล้ว การทำงานประจำจะมีผลต่อยอดขายให้เพิ่มขึ้น

เราต้องเทรนให้พนักงานวางของให้เป็น วางสินค้าให้โดน แบบนี้ร้านถึงจะไปได้ ไอ้พวกที่ขยันแต่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้น เก็บไว้ก็รกร้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์มาแต่งร้านยังดีเสียกว่า

ในร้านที่เจ้าของไม่สนใจไปดู พนักงานจะวางของ เรียงของตามสะดวกตามการทำงานของตนเอง ที่เจอมาก็มีหลายประเภท ทั้งแปลกทั้งฮา หรือถึงขั้นเหลือเชื่อก็มี เช่น วางเรียงตามใบส่งของ วางเรียงตามลำดับอักษรในใบรายการสินค้า วางแบบกลัวของหาย กลัวขโมย วางแบบให้เช็กยอดสะดวก ซึ่งการวางแบบที่ว่ามาพวกนี้มันคนละเรื่องกับการวางของให้กระตุ้นยอดขาย หรือโดนใจคนซื้อ

ผมเคยไปเจอบูธสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในงานสัปดาห์หนังสือ พอเดินเข้าไป มองมามองไปเริ่มรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ในที่สุดก็ร้องอ๋อในใจ เพราะไม่น่าเชื่อว่า เขาเรียงของแบบเก็บกลับสะดวก เช็คยอดง่าย ผมกล้าเดาเอาเลยว่า ที่โกดังวางยังไง ลูกจ้างของที่นี่ก็ขนมาวางแบบนั้นล่ะ ที่บูธยอดขายจะเป็นยังไงไม่สนใจ แต่ดูตามเกมการวาง เน้นเอาขนกลับโกดังสะดวกวันสุดท้าย แล้วแบบนี้ จะไปขายได้ยังไง กันละเนี่ย!


ถ้าร้านขายของชำของใช้ อย่าวางตามเซลล์ยุ หรือวางของแบบเรียงเป็นตั้งๆ เช่นวางกระป๋องนมหรือผงซักฟอกกองสูงท่วมหัว ตามแคมเปญที่สินค้าแต่ละอย่างออกมาเสมอไป อย่ามัวไปโลภกับลาภเล็กน้อยที่ให้มา ของแบบนี้อาจไปกระทบยอดขายและการวางของสินค้าอื่นๆ หรือทำให้การวางสินค้าในร้านเสียสมดุลไป



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

กินยาก่อนอาหาร หลังอาหาร ภาษาอังกฤษบอกว่ายังไง


โดย มารพิณ
ไป เฟซบุ๊ค   www.facebook.com/marnpinbook
ไป หน้ารวมข้อมูลเที่ยวเอง-backpack-แบกเป้

มาดูเรื่องของศัพท์อังกฤษบอกมื้อกินยา ทานยาครับ เรื่องนี้สำคัญเหมือนกันเวลาเดินทาง หรือมีฝรั่งมาถามเราว่ายานี้ทานยังไง กินอย่างไร แหม..ภาษาอังกฤษไม่คล่อง แล้วเราจะพูดอะไรออกไปดี

เอาง่ายๆ  ครับ สั้นๆ ตรงประเด็น เพราะพวกยากินเราต้องการรู้มากที่สุดคือกินก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร และกินกี่ครั้งต่อวัน กันแน่

มาดูกันครับมีไรมั่ง

Before meals
 (บิฟ้อร์ มีลส์)
แปลว่า    ก่อนอาหาร

คำว่า meal   แปลว่า มื้อ  หรือมื้ออาหาร  อย่างที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์แมคโดนัลด์เอาไปใช้ Happy Meal  หรือ แฮบปี้มีล ก็คือ มื้อที่มีความสุข มื้อทานที่แฮบปี้นั่นเอง

After meals
(อ๊าฟเต่อร์ มีลส์)
 แปลว่า  หลังอาหาร

Three times a day
 (ทรี ไทม์ส์ อะ เดย์)
วันละสามครั้ง  ถ้ากินยาวันละสี่ครั้งก็เปลี่ยนตัวเลขไปเรื่อยตามกำหนด
คำว่า time ที่เห็นในที่นี้มันไม่ใช่แปลว่าเวลา แบบที่เราคุ้นมานาน แต่แปลว่า "ครั้ง"  หรือ "หน"   หรือ "คราว" ก็คือจำนวนครั้งที่ทำ ที่กิน หรือครั้งที่เราทำอะไรซักอย่างลงไป

On an empty stomach.
(ออน เอ๊มถี่ สโตมัค)
 เวลาท้องว่าง

คำว่า empty  แปลว่า ว่าง ไม่มี หรือว่างเปล่า  ส่วน stomach  แปลว่า ท้อง แต่เป็นท้องในแง่ของ ตัวกระเพาะอาหาร



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

คุยด้วยป้าย อย่าคุยด้วยปากอย่างเดียว


คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ



คุยด้วยป้าย อย่าคุยด้วยปากอย่างเดียว

เรารู้เรื่องชั้นวางแล้ว รู้เรื่องระดับที่แตกต่างมีผลยังไงแล้ว คราวนี้มาเสริมชั้นและระดับให้เด่นด้วยการใช้ “ป้าย” ที่จะทำหน้าที่สื่อสารกับตัวลูกค้าแทนเรา เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอยู่ทุกที่ทุกเวลาในร้านได้

บางร้านเซ้าซี้น่ารำคาญ ส่งพนักงานประกบคนต่อคน จนลูกค้าหนี เรื่องแบบนี้ ทางการขายต้องขอบอกว่า เราต้องคุยด้วย “ป้าย” เสียบ้าง อย่าให้ข้อมูลด้วย “ปาก” อย่างเดียว ลูกค้ารับรู้ข้อมูลที่เราต้องการบอกโดยไม่รู้สึกกดดัน

บางร้านที่ไม่มีข้อมูล ป้ายราคาไม่มี หรือมีแล้วดูไม่เข้าใครใจ ผมไปยืนดูอยู่สิบห้านาที มีลูกค้าถามคำถามเดิมๆ หลายราย แต่เจ้าของร้านก็ดูเหมือนจะชินจนไม่คิดจะจัดการอะไร ทั้งๆ ทำให้เสียเวลาเพิ่มกันทั้งคนซื้อและคนขาย

เรื่องหลักๆ ที่ต้องสนใจก็มีดังเช่น อย่างแรก ป้ายราคาต้องชัดเจน ดูแล้วไม่งง อย่างที่สอง โปรโมชั่น ต้องบอกให้เข้าใจ ซื้อสามแถมหนึ่ง หรือ ซื้อห้าแถมหนึ่งกันแน่ และอย่างที่สาม ของอะไรที่ติดป้ายว่า “ใหม่” หรือ “ฮ็อต” ก็ควรจะร้อนแรงแปลกใหม่สมชื่อ ไม่งั้นต่อไปลูกค้าก็ไม่เชื่อเราอีก

อย่าลืม กำหนดอายุของป้ายที่ติด ในแต่ละจุดด้วย เช่นครบหนึ่งอาทิตย์ ครบหนึ่งเดือนตามที่เราตั้งไว้ ครบอายุต้องเอาออกทันที บางป้ายอาจมีข้อความประกอบมาด้วยเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึก อย่างพวกยา อาหารสมุนไพร บำรุงสุขภาพ จะชอบใช้วิธีนี้ หรือการเขียนป้ายด้วยมือว่า “ลดสุดๆ” อาจสร้างความเร้าใจคนซื้อมากกว่า ป้ายที่ปรินต์ออกมา

พูดถึงป้ายขนาดเล็กไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่ ที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนทำให้ราคาค่าปรินต์ถูกลงมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาดโปสเตอร์ หรือพิมพ์เป็นผืนใหญ่ๆ อย่างป้ายไวนิล ที่ตอนนี้กำลังนิยมอย่างมาก ลองหากลยุทธพวกนี้มาสื่อสารกับลูกค้า

ขอแนะว่า ลองไปดูตัวอย่างการใช้ป้าย ตามร้านต่างๆ ตัวอย่างที่ยกมาซ้ำแล้วซ้ำอีกก็คือ ร้านเซเว่นที่เป็นความเพลิดเพลิน ขายหลายมิติ มองทุกมุมในเซเว่นจะเห็นป้ายจูงใจให้ซื้อใหม่ๆ ลองมองมุมและองศาที่ไม่เคยมองจะเห็นอะไรต่างออกไปเสมอ เจอป้าย เล็กป้ายใหญ่ ราคาพิเศษ สะสมแต้ม เจอป้ายโฆษณา เรียกว่าทั้งหน้าร้าน ชั้นวาง ป้ายต่างๆ คอยสื่อสารบอกเล่ากับลูกค้าตลอดเวลา ที่เข้าเดินในร้าน จากนั้นค่อยเจอพนักงานถามเป็นลำดับสุดท้ายตอนจ่ายเงินว่าจะรับน้ำเพิ่มมั้ย เป็นหมากล้อมขาวดำของจีน ที่ล้อมคนซื้อไว้ทุกทิศทาง แต่ไม่กดดัน

เราถูกเร้าใจให้ซื้อของ เฮ้... มีทางเลือกมากมาย เรียกว่า ถูกทำให้รู้สึกกระตุ้นจนต้องซื้ออะไรซักอย่างออกไปจนได้



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

อย่าเอาคนมาดักหน้าบูธ


คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ



อย่าเอาคนมาดักหน้าบูธ

ในการขายของแบบบูธตามงานแสดงสินค้าต่างๆ มีหลายร้านที่ทำพลาดที่สร้างบรรยากาศกดดันจนลูกค้าไม่เข้าบูธ ข้อแรกที่ชอบพลาดกันคือ มีพนักงานในบูธมากเกินไป หรือมีเพื่อน คนรู้จักแวะมาเยี่ยม ก็นั่งคุยกันเต็มบูธ คนก็ไม่อยากเข้ามาในบูธซึ่งเป็นพื้นที่แคบอยู่แล้ว

แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญที่สุดคือ การจ้างคนมาดักหน้าบูธ มาป่าวประกาศ หรือแจกใบปลิวขวางอยู่หน้าบูธ ทำให้กระแสคนที่เดินตามงานแสดงสินค้าที่มีธรรมชาติเหมือนกระแสน้ำ (flow) พอเจอสิ่งกีดขวาง คนก็จะหลบออกห่าง ยิ่งงานไหนมีคนเยอะ เรื่องเอาคนไปขวางฮวงจุ้ยหน้าบูธตัวเองจะยิ่งมีผลเสียแบบไม่รู้ตัว เพราะคนจะชิ่งออกหมด 

ในซอยบูธ ที่ไม่กว้างอะไรมากอยู่แล้ว พอมีคนไปดักหน้าบูธทั้งสองด้าน แทนที่จะเรียกคนเข้า คนจะหลบเลี่ยงไปแทน ไอ้การดักแบบนี้มีเห็นอยู่แบบเดียวคือในเกมฟุตบอล ยืนคุมเสากันไม่ให้ลูกเข้าประตูครับผม!

บูธหัวมุมที่เป็นทำเลดีอยู่แล้ว ถ้าเอาคนไปยืนมุมนอกบูธ คนจะหลบออกหมด


เวลายืน พนักงานหรือคนเรียกลูกค้า ควรอยู่ในพื้นที่บูธ ไม่งั้นคนจะเลี่ยงออกหมด แต่ถ้าเป็นคนดูยืนอยู่หน้าบูธเราล่ะ จะเกิดผลอีกแบบครับถ้ามีคนยืนสนใจดูบูธเรา ก็จะยิ่งเรียกคนเข้ามา เพราะธรรมชาติของคนยิ่งมีคนมุงก็ยิ่งเข้าไปดูว่ามีอะไร ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นครับ 


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

อย่าใช้พนักงานรุกลูกค้า



คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


อย่าใช้พนักงานรุกลูกค้า

เป็นคำแนะนำที่อาจดูฝืนความรู้สึกทั่วไปพอควร แต่ขอยืนยันว่า ควรให้รอระยะก่อน ปล่อยเวลาไว้ อย่าเข้าทันที คนขายต้องอยู่ห่างคนซื้อ อย่าเดินเพ่นพ่านแบบไร้ทิศทางในร้าน แต่ต้องอยู่ในบริเวณเฉพาะ เช่นหลังเคาน์เตอร์ อยู่ที่มุม อย่าจ้องจนลูกค้าอึดอัด และอย่ารุกเข้าหาลูกค้าที่เดินเข้ามาก่อนเวลาอันควร

เคยเจอมั้ยครับ เวลาเข้าร้านบางร้าน ก้าวเข้าไปไม่เกินสองก้าว พนักงานเดินเข้ามาประกบทันที เชียร์โน่นเชียร์นี่ หรือถามอะไรที่เรายังตอบไม่ได้ เดินตามตลอด เหมือนจะระแวงว่าเราจะขโมยของ ผลก็คือเราเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมา แล้วอยากจะเดินออก อยากจะหนีการตามประกบไปให้ไกล


มีหลายร้าน ที่คุกคามคนซื้อไม่ให้เข้ามาซื้อของกันแบบนี้จริงๆ ให้พนักงานของตัววิ่งเข้าหา แทนที่จะกระตุ้นยอดขายอย่างที่หวัง กลับยิ่งเร่งให้ลูกค้าหนีออกนอกร้านเสียนี่

พนักงานเราต้องยืนอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งที่แน่นอน เมื่อลูกค้าเข้ามา สนใจสินค้าอะไร เขาจะเริ่มมีคำถามและเข้าหา พนักงานเอง หรือหากลูกค้ายังไม่มีท่าทีอะไร หากเรารอซักช่วงนึงแล้ว คราวนี้จะเข้าไปหา เพื่อหาทางปิดการขาย แบบนี้ก็ไม่น่าเกลียดอะไร

นอกจากนี้อย่าให้มีจำนวนพนักงาน หรือมีคนที่ไม่ใช่ลูกค้าอยู่ในร้านมากเกินไป เช่นเพื่อนพนักงาน เพื่อนเจ้าของร้าน เวลาที่มีคนอยู่ในร้านมากไปให้ลองนึกภาพ พนักงานเราแต่ละคนมีตาอยู่คู่นึง มีกี่คนรวมกันแล้วแค่มองมาก็กดดันลูกค้าจนไม่อยากเข้ามาในร้าน หรือเข้ามาแล้วอยากเดินออก



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

การขายแบบฝูงหมาป่า



คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


การขายแบบฝูงหมาป่า

สุดยอดของการคุกคามคนซื้อคือการขายที่เรียกว่า ขายแบบ “ฝูงหมาป่า” หรืออีกแบบที่รุนแรงพอกันคือ “ปิดประตูตีแมว” ผมไม่แนะให้ใช้ทั้งสองวิธี แต่จะเล่าไว้

ขายแบบ “ฝูงหมาป่า” ก็คือ การมีพนักงานจำนวนมากออกล่าคนเดินผ่านไปมา ชวนให้เข้าร้าน กดดันเล่นเกมบีมทุกอย่างจนคนต้องตัดสินใจซื้อ โดยมากจะเป็นธุรกิจที่ขายบริการหรือเน้นการสมัครสมาชิก เช่น สปอร์ตคลับ ฟิตเนส สมาชิกหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร บัตรเครดิต ขายประกันภัย หรือแม้แต่ขายทัวร์ คูปองรีสอร์ตตามงานท่องเที่ยว พนักงานที่ออกล่าเหยื่อพวกนี้จะมีอาการ “กระหายเลือด” สูง เพราะค่าจ้างไม่ค่อยได้หรอก แต่หาเงินจากค่าคอมมิชชันต่อหัว

เจอพวกนี้ อย่าไปเผลอเดินตามหรือคุยด้วย จะโดนเร่งให้ถูกปิดการขายอย่างเดียว

อีกแบบ เป็นการขายในแบบเก่าที่อยากจะเรียกว่า “ปิดประตูตีแมว” เช่นสมัยก่อนจะมี พวกร้านเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่พอคนเข้าร้าน เซลล์จะตามประกบ แล้วปิดการขายให้ได้ ถ้าไม่เงินสดก็เงินผ่อน ล้อมตีเอาให้อยู่ ใครนิ่มๆ ซื่อๆ ไหวพริบไม่ทันก็ต้องหลวมตัวซื้อของ ลักษณะแบบนี้ ถ้าเป็นเมืองนอกอย่างในอเมริกา ก็ขึ้นชื่อมากในเรื่องของ เซลส์แมนขายรถมือสอง ซึ่งว่ากันว่าอย่าไปคบเลย ไว้ใจไม่ได้เด็ดขาด

การขายพวกนี้มีผลเสียมากมาย ขายได้จริง แต่สร้างความขัดแย้ง สร้างปัญหาขึ้นตลอดเวลา ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีปกติสุขก็อย่าไปทำครับ อย่างพวกร้านปิดประตูตีแมว ตอนหลังก็โดนห้างใหญ่แย่งตลาดไปหมด


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

หมดยุคห้องแถว เพราะคุกคามคนซื้อ



คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ

อย่าคุกคามคนซื้อ

ฟังชื่อหัวข้อนี้แล้วอย่าได้งง เป็นอันขาด เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับร้านทุกประเภท คนเรามีสัญชาตญาณป้องกันตัว ไม่มีใครอยากเข้าพื้นที่ที่แคบ ตัน หรือถูกคุกคาม หรือรู้สึกว่าเราไปเข้าในพื้นที่ของคนอื่นเข้าไปในเขตของคนอื่นที่ไม่ใช่บริเวณของเรา และเรื่องนี้มีผลกระทบตามมามากมาย

 ร้านห้องเดียวกับสองห้องจะให้ผลในความรู้สึกที่ต่างกัน ร้านห้องเดียวมีความรู้สึกเป็นทางตัน คับแคบ ไม่น่าเข้า ยิ่งก้าวลึกเข้าไปเริ่มเห็นข้าวของส่วนตัวของเจ้าของร้านมากขึ้นก็เหมือนมาถิ่นอื่น ข้ามเขตมาพื้นที่คนอื่น จะไม่อยากเข้า และกลัวจะออกมาลำบาก

ในขณะที่ร้านสองห้อง จะโล่งกว่า มีช่องทางเข้าออกได้หลายทาง ดูสบายใจที่จะถอยออกมาได้หลายทาง วนออกทางข้างก็ได้ ถอยออกมาตรงๆ ก็ได้ ความรู้สึกคุกคามจากพื้นที่จะน้อยกว่า ผลก็คือ คนอยากเข้าร้านแบบนี้มากกว่าร้านห้องแถวห้องเดียว ผมว่าต่อไปรูปแบบห้องแถวกำลังจะตาย ห้องเดียวทำการค้าได้ยากขึ้น ร้านบางอย่างเช่น พวกร้านสะดวกซื้อคอนวีเนี่ยนสโตร์กำหนดมาเลยว่าต้องเริ่มที่สองห้องเป็นอย่างต่ำ

ร้านห้องเดียว มันอาจเหมาะกับยุคก่อน สมัยก่อนที่มีสินค้ามีไม่หลากหลาย ไม่ต้องเลือกมาก เข้าไปถึง บอกเลยว่า จะเอาอะไร เลือกบ้างเล็กน้อยแล้วเดินออก ไม่แปลกอะไร ที่ร้านห้องเดียวที่ยังเวิร์กอยู่บ้าง ก็พวกร้านขายยา ที่คนซื้อรู้ว่าจะเอาอะไร แล้วก็ไม่ต้องเลือกมาก ถามได้จากคนขายเลย 




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

ทำไมคนต้องเข้าร้าน



คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


ทำไมคนต้องเข้าร้าน

เมื่อราวเกือบสิบปีก่อน ผม เคยได้มีโอกาสคุยกับผู้บริหารเซเว่นคนนึง บอกกลยุทธที่จะทำคือ ให้คนนึกถึงร้านสะดวกซื้อแห่งนี้เวลาที่ “หิว กระหาย จ่ายเงิน” ว่ากันตรงๆ เลย ผมฟังในตอนนั้นวันนั้นก็อึ้งเหมือนกัน ไม่นึกว่าจะทำจริง เพราะกลยุทธที่ลึกซึ้งนี้ ง่ายมาก ลงตัว ชัดเจน ไม่พูดอะไรหรูหราเป็นนามธรรมแต่จับต้องไม่ได้ แบบพวกจบมาร์เก็ตติ้งเมืองฝรั่งเขาทำกัน

ไม่ว่าจะขายอะไร ต้องนึกให้ออกว่า คนเข้าร้านคุณทำอะไร เพื่ออะไร ซื้อชุดออกเดตกับแฟน หรือว่า มองหาอาหารปลอดสารพิษ หาชุดสังฆทาน หมวกสารพัดสไตล์ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กันแน่ และที่สำคัญเขาใช้โปรดักต์ที่เราขายสร้างความต่างในชีวิตของลูกค้าได้อย่างไร

เห็นพวกโฆษณาในทีวีมั้ยครับ เด็กร้องโยเย พอผ้าอ้อมมาปุ๊บ เด็กหัวเราะไม่ยอมหยุด ฉากตัดกลับมาอีกครั้ง คุณพ่อกลับมาแล้ว เจอแม่ลูกยิ้มแย้มแจ่มใส ครอบครัวสดใสมีความสุข (เพราะซื้อผ้าอ้อมเด็ก)

หรือ คุณแม่ติดธุระยุ่ง ไม่ทราบชัดว่ามัวไปประชุมดาวน์ไลน์ขายตรง หรือยังไงกันแน่ คุณพ่อตัวดีที่ทำกับข้าวไม่เคยเป็น สมคบคิดกับลูกชายตัวแสบ แอบทำกับข้าวรอรับคุณแม่บ้าน โชคยังดีที่งานนี้มี ผงปรุงอาหารประหลาดมหัศจรรย์ ใส่ลงกับข้าวอะไรก็ตาม พระเจ้าช่วย...อร่อยสุดขีดขึ้นมาทันที โอย... งานนี้ครอบครัวสุขสันต์วันหรรษาอีกแล้ว เพราะซื้อโปรดักต์ดีๆ ไปเติมเต็มให้ชีวิต

สินค้าไม่มีอะไรใหม่ก็ต้องทำให้ใหม่ เหมือนผงซักฟอกที่โฆษณาว่า ใหม่ตลอดเวลา ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนแก่ มันก็ยัง “ใหม่” อยู่ตลอดปีตลอดชาติ

ผมไม่เคยเห็นครอบครัวที่มีความทุกข์เลยในงานโฆษณา เพราะเขาสร้างดีมานด์ให้กับสินค้าของเขา ที่ซื้อไปแล้วจะมีความสุข ยิ่งซื้อมากยิ่งสุขมาก บ้านจัดสรรของเจ้านี้แพงกว่าที่อื่นล้านนึง แต่อยู่แล้วต้องมีความสุขชัวร์ๆ เลย อะไรแบบนี้ จ่ายเพิ่มอีกล้านแล้วดุเหมือนจะมีความสุขขึ้นมา

ดีมานด์พวกนี้ ต้องถูกสร้างขึ้น ไม่งั้นของก็จะขายไม่ได้ เช่น ผู้ชายต้องมีโฟมล้างหน้า สำหรับผิวหนังที่รูขุมขนใหญ่กว่า หรือ น้ำยาทำความสะอาดส่วนเร้นลับ เพราะใช้สบู่อาจมีตกค้างเกิดกลิ่น นี่เป็นเรื่องของโฆษณา หรือว่าหลอกลวงสร้างภาพลวงตาหรือเปล่า อันนี้คงต้องถกเถียงกันต่อไป แต่บางครั้งนะ คนเรารู้ทั้งรู้ว่าหลอก แต่ก็เต็มใจให้หลอก จนหมดใจครับ

อย่าลืมถามเซลล์ที่เอาของมาขายเราด้วยว่า โปรดักต์เนี่ย ของตัวเนี้ย มันสร้างความต่างยังไง จุดขายอยู่ตรงไหน อย่าถามแต่ส่วนลด หรือเอาของแถม

หาคำตอบให้เจอว่า ร้านเรากำลังขายอะไรกันแน่ ตีโจทย์ให้ออก แล้วเราจะขายของได้ เช่น ร้านกาแฟกลางทาง จริงอยู่ว่าอาจจะขายกาแฟ แต่ที่ขายมากกว่านั้น คือ “ความมั่นใจในการขับขี่” หรือ “จุดผ่อนคลายบนเส้นทาง” ในขณะที่ บริษัททัวร์ อาจไม่ได้ขายแค่ทัวร์ แต่ขาย “ความฝันวันพักร้อน” หรือขาย “โลกอื่นที่ไม่ใช่ชีวิตทำงาน”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

กี่งาน กี่คน


คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ



กี่งาน กี่คน

ก่อนที่จะเกิดปัญหาการทำงานในร้านในระยะยาว พอเริ่มตั้งหลักได้ หรือผ่านช่วงครึ่งปีแรก ตอนนี้เราเริ่มรู้ระบบงานหมดแล้ว ให้มานั่งดูฟังก์ชั่นของงาน และกระบวนการทำงานที่มีเสียก่อน ในร้านมีกี่งาน และจะแต่ละงานต้องทำอะไรบ้าง ใช้กี่คน จะลดทอนตรงไหนได้

ของบางอย่างอาจเป็นเหมือนเรื่องเล็ก แต่สร้างปัญหาใหญ่ได้ เช่น เดินกลับไปกลับมาสั่งของครั้งละ 30 เมตร สิบครั้งก็ 300 เมตร พอร้อยครั้งก็ 3 กิโล นี่คือเหตุผลว่า ที่ร้านเอ็มเค หรือร้านอาหารอื่น เดี๋ยวนี้ใช้คอมพิวเตอร์เล็กๆ PDA เล็กๆ เชื่อมระบบสัญญาณไร้สาย กับแคชเชียร์และห้องครัวเลย ทำให้อาหารเสิร์ฟได้ไวขึ้น หมุนลูกค้าออกได้เร็ว และที่สำคัญคือ พนักงานไม่ต้องเดินกลับไปกลับมาจนน่องบวม

แต่ละที่ แต่ละร้านมีระบบ และประสิทธิภาพที่ต่างกัน เวลาไปซื้อของเคยจับเวลามั้ย ว่า ร้านไหน ห้างไหน แผนกไหน ที่เคลียร์เงิน ทอนเงิน เอาของใส่ถุงกลับมาให้เราเร็วที่สุด ตามดูมั้ยว่าทำไมเขาทำความเร็วขนาดนั้นได้

บางกิจการ บางร้านช่วงต้น ผัวเมีย หรือแฟนกันอาจช่วยกันทำเองหมด อันนี้ก็ดี เพราะช่วงตั้งต้น ยังไม่รู้จะเจออะไรบ้าง อะไรที่ควรประหยัดก็เซฟไว้ก่อน แต่พอมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็ต้องคิดกันล่ะว่า ในร้านมีกี่งาน จะต้องจ้างอะไรกับใครบ้าง ถ้าจำเป็นต้องจ้างก็ต้องจ้างอย่าคิดเสียดาย หรือ ขี้เหนียวจนไม่มีลูกจ้าง ประหยัดได้จริง แต่ให้ระวังผัวเมียทะเลาะกัน กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ส่วนตัว อย่าลืมว่าชีวิตคนเรา มีมาตรวัดความสำเร็จและความสุขในชีวิตมากมาย นอกจากเรื่องเงิน

บางครั้งราคาที่ต้องจ่ายไปสำหรับธุรกิจเราคือความสุขในครอบครัวที่ไม่มีวันหวนคืน ผมยังจำได้เสมอ สมัยเรียน มีร้านใกล้มหาลัย เรียกกันว่า “ก๋วยเตี๋ยวปากหมา” เหตุเพราะผัวเมียด่ากราดกันตลอด เวลาทำก๋วยเตี๋ยวส่งลูกค้า ร้านนี้ขายดีเพราะอร่อย มีเมนูหลายแบบให้เลือก ให้เครื่องเยอะ แต่ไม่ใช่ร้านที่มีความสุข บางทีเราต้องมานั่งถามตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าร้านทำไปแล้วไม่มีความสุขจะทำไปทำไม ลองหากิจการอย่างอื่นทำดีมั้ย เพราะผมเชื่อเสมอว่า ร้านที่จะประสบความสำเร็จคือร้านที่ทำแล้วมีความสุข สนุกกับการสร้างกิจการขึ้นมาเท่านั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ

ในบางสถานการณ์ลูกน้องก็ขัดคำสั่งเจ้านายได้



คอลัมน์พิเศษ

เขียนโดย เซียวอี้ซาน
เรียบเรียงคำพูด-ถ่ายทอด โดย  มารพิณ


บางครั้ง บริหารลูกน้องเข้มงวดเกินไป มีผลเสีย  เพราะอยู่แนวหน้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะทำตามคำสั่งแบบเถรตรงไม่ได้

เพื่อนผมคนนึงเคยบ่นเสียดายโอกาสที่หลุดลอย เคยสั่งลูกน้องไว้ว่าห้ามลดเด็ดขาด ลูกน้องเฮียแกก็ดีเหลือหลายเจ้านายสั่งไว้อย่างไร ก็ว่ากันตามนั้น เจอเคสที่เขาจะสั่งของมูลค่าเป็นแสนต่อรองขอเปอร์เซ็นต์เพิ่มอีกนิดเดียว กลับปฏิเสธไปหน้าตาเฉย เล่นเอาเถ้าแก่ตัวจริงที่มารู้เหตุการณ์ทีหลังถึงกับกุมขมับ เพราะว่ายอดขายเดือนนึงโบยบินจากไป แบบไม่มีกลับ

หรือในอีกกรณี เจ้าของร้านเข้มงวดเกินไป จัดตารางเวลาถี่ยิบให้ทำทุกอย่างตามแผนที่ตนเองวางไว้ ผลก็คือ มัวทำงานอื่นตามตารางเวลา เช่นกวาดร้าน เช็ดกระจก เพราะกลัวเจ้านาย เลยไม่ตอบสนองลูกค้าที่กำลังแน่นเคาน์เตอร์อย่างไม่คาดฝัน แทนที่จะมาระดมเคลียร์ และบริการลูกค้าที่มายืนออ


นอกจากนี้ พอสร้างกิจการไปซักระยะ ต้องบริหารพนักงานขายเป็นด้วย ถ้างานเราไม่มีทางก้าวหน้า ไม่มีโอกาสได้ค่าตอบแทนเพิ่ม ก็ยากที่จะหวังว่าจะมีลูกจ้างรายไหนที่จะทำกับเรานาน

ถ้าอยากได้คนเก่งมาร่วมงาน หรือจะเทรนคนให้เก่ง ก็อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะจมอยู่กับเราตลอดไป เพราะเมื่อถึงวันหนึ่ง คนมีฝีมือก็ต้องจากไป มีร้านมีกิจการ มีที่ทางของเขาเอง ดังนั้นถ้าไม่มีอนาคตให้จะทำไปทำไม อย่าไปโกรธที่ลูกน้องเก่งแยกทางเดิน

ใครที่บริหารลูกน้องไม่เป็น สุดท้ายได้เหลือแต่คนที่จงรักภักดีจริง ทำตามเราทุกอย่าง แต่หาความสามารถสาระไม่ได้ ไม่มีความคิดของตัวเองเลย แบบนี้จะมีประโยชน์อะไรกับร้าน  


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ cx]

 ใครที่คิดว่าเรื่องราว ข้อมูลการเดินทางที่เขียนที่นี่โอเค น่าสนใจ ฝาก share บอกต่อเพื่อนๆด้วยครับ ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะเดินทางบ่อย คงมาตอบได้ไม่ทันใจ
 © สงวนลิขสิทธิ์ มารพิณ